2555-05-14

CU-TEP & CU-BEST 2012

ตารางสอบ CU-TEP

Test Schedule

Test Dates
Test Time
Registration/Payment Periods
7/2012
8 ก.ค. 55
8:30 - 11:30
1 - 11 มิ.ย. 55
8/2012
19 ส.ค. 55
8:30 - 11:30
2 - 11 ก.ค. 55
9/2012
9 ก.ย. 55
8:30 - 11:30
1 - 9 ส.ค. 55
10/2012
14 ต.ค. 55
8:30 - 11:30
3 - 13 ก.ย. 55
11/2012
11 พ.ย. 55
8:30 - 11:30
1 -11 ต.ค. 55
12/2012
9 ธ.ค. 55
8:30 - 11:30
1-12 พ.ย. 55

[Ref. http://www.atc.chula.ac.th/th_html/th_tep2.html]

ตารางสอบ CU-BEST

ครั้งที่

เริ่มรับสมัคร Online หมดเขตรับสมัคร ประกาศผังสอบทาง
Website

วันสอบ
(วันอาทิตย์)

3/55

เริ่ม 1 ส.ค. 55 ถึง 20 ก.ย. 55 29 ก.ย. 55 7 ต.ค. 55

4/55

เริ่ม 1 ต.ค. 55 ถึง 15 พ.ย. 55 19 พ.ย. 55 25 พ.ย. 55

[Ref. http://www.chulatutor.com/CU-BEST.html]

Logistic

ปริญญาโท Logistic มีสอนคณะLogistics/ Supply Chain Management ก็หลายที่อยู่นะครับ เช่น จุฬา ABAC, มหาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (บางมด), มหาลัยหอการค้า, ม. บูรพา , ม.ราม
จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย http://www.tri.chula.ac.th/logistics/index.htm
ม. อัสสัมชัญ http://www.intranet.au.edu/portal2003/programOfStudy/grad/msc_scm/scm_menu.html
ม. เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี http://www.kmutt.ac.th/eduserv/docs/Graduate05_06/Academic%20Program/GMI/Logis.pdf
แต่ จากที่ ผมถามในคนในวงการโลจิสติกส์ มาให้นะครับ ขอบอกตามที่ฟังมาเลยแล้วกัน ( ท่านทำงานอยู่ที่ TNT) บอกว่า ส่วนใหญ่แล้ว บริษัทใหญ่ๆๆๆๆ จะให้การยอมรับหลักสูตร อยู่ ไม่กี่ที่ หนึ่งในนั้น คือ จุฬา กับ ABAC ถามว่าทำไม ก็คงยาว ชื่อสถาบันก็ส่วนหนึ่ง แต่ อยากให้ดูถึงหลักสูตรการนำมาประยุกต์ใช้ในทำงานด้วย เป็นธรรมดาครับว่าที่เป็นที่ยอมรับก็มักจะเป็นมหาลัยที่เข้ายากหรือเรียนยาก ซึ่ง อันดับ1 ในไทย ที่ฟังมาก็จุฬา อันดับ2 ก็คุยๆกันมีความคิดเห็นว่าน่าจะเป็น ABAC
ซึ่งทั้ง2 ที่นี้ ผมก็ลองเข้าไปดูเนื้อหาวิชาเรียนแล้วหลักสูตรวิชาเรียนของเขาดีมากๆ ใช่เลยที่ต้องใช้ในการทำงาน แต่ ผมก็เข้าใจว่าการสอบเข้า หรือเรียนยากมาก
แต่มหาลัยที่เข้าไม่ยากมาก และ เป็นที่ยอมรับมากพอสมควรและหลักสูตรเนื้อหาวิชาก็น่าสนใจครอบคลุมพอสมควร ก็จะเป็นที่มหาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (บางมด) หลักสูตรเนื้อหาวิชาเขาดีใช้ได้เลย แต่ยังไง คุณลองเข้าเน็ตดูวิชาที่สอนก่อนนะครับว่าตรงแนวที่เราต้องการไหม แล้วค่อยพิจารณาอีกทีนะครับ
อย่างที่บอกไปแล้ว ว่า มหาลัยที่คุณจะเลือกเรียนด้านโลจิสติกส์อย่างน้อยควรมีเนื้อหาวิชาเรื่อง Warehousing and Inventory System (ระบบการบริหารคลังสินค้าและสินค้าคงคลัง), Transport Management (การบริหารการจัดการการขนส่งสินค้า), Analytical Techniques for Logistic Management( เทคนิคการวิเคราะห์การบริหารจัดการด้านLogistics) เป็นต้น ที่ผม แนะนำ อย่างนี้เพราะว่าตลาดงานด้านLogisticsส่วนใหญ่ต้องการคนที่มีความรู้หลักๆเหล่านี้มากครับ
ส่วน ม.บูรพา ผมเข้าไปดูหลักสูตรแล้ว (โดยส่วนตัว) ผมมองว่าเนื้อหายังไม่ครอบคลุมเรื่องสำคัญๆ มักจะเน้นไปทางขนส่งซะส่วนใหญ่น่ะครับ ขาดเรื่องระบบการบริหารคลังสินค้าซึ่งสำคัญมากในการทำงานซะด้วย ที่นี่เลยไม่ค่อยน่าสนใจครับ (สำหรับผม หรือ บางทีเนื้อหาบางส่วนอาจจะใช้ชื่อวิชาแปลกๆก็เป็นได้ ลองถามคณะดู) ยังไง ลองไปดูได้ที่ WEB: BMC.BUU.AC.TH
## สรุป เอาเป็นว่าแต่ละที่ก็มีจุดเน้นต่างกันไป บางที่เป็นเน้นไปทางวิศวะ บางที่บริหาร บางที่เน้นทางด้าน วิทยาศาสตร์เทคโนโลนี
ผมว่าจุดที่สำคัญ คุณต้องรู้ก่อน ว่าที่ไหน สอนโลติสติกส์ เน้นไปด้านไหน แล้วถามตัวเอง ว่าชอบด้านไหน
แต่แนะอีกนิด การทำงานโลจิสติกส์ ทั้งแบบที่เป็นแบบบริหาร , วิศว หรือ แบบ IT มีความต้องการของตลาดทั้งหมดครับ แต่พูดจริงๆ ต้องใช้จำนวนคนในการทำงานแบบบริหารมากกว่าแบบอื่นๆ จึงพูดได้ว่าแบบบริหาร มีโอกาสมากกว่าครับ
ถ้าเทียบงาน คนที่ทำงานแบบวิศวะ หรือ เทคโนโลยี ก็ต้องรู้เรื่อง กลไกการไหลย้อน ไหลไป ผังต่างๆ และ IT หรือ Software มากๆ การเรียนเป็นไอที แบบเป็น USER ก็ไม่จำเป็น ต้องไปเรียนโท คอร์สฝึกมีมากครับ บางที่เน้นประสบการณ์มากกว่าด้วยครับ แต่หากเรียนด้านไอที ควรหาที่สอนเบบเป็นผู้วางระบบ หรือ แบบที่ปรึกษา แบบนี้ก็จะมีแผนก IT แยกไปเลยครับ แบบนี้จะเน้นการทำงานกับระบบ software (ทั้งนี้ทั้งนั้นแต่ละองค์กร หรือ บริษัทอาจแบ่งแยกแตกต่างกันไปนะครับ แล้วแต่ขนาดขององค์กรนั้นๆด้วย บางที่จะมีบุคลากรแยกไปเลย ว่าทำงานด้านไอที ด้านออกแบบวางระบบให้กับบริษัทต่างๆ SAP หรือ บางที่อาจจะมีแผนก สำหรับ USER มาใช้โปรแกรมนั้นๆไป)
ในการทำงานจริง ในแบบบริหารนะครับ จะเป็นแผนกปฎิบัติการ จะเน้นการทำงานกับคนมากมาย มีแต่งานด่วนมากจนถึงด่วนที่สุด มือถือนี่เปิดทั้งวันเลยนะครับ รับสายตลอด ไหนจะดีลกับลูกค้า ไหนจะติดต่อ ติดตามสินค้า ตู้ การบริหารบุคคลจะเน้นแก้ไขปัญหาการปฎิบัติงานทุกๆด้าน เหนื่อยกว่ากันเยอะครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในหลักสูตรบริหาร นี่ก็แยกออกเป็นหลายส่วนมากครับ ถ้าทำในส่วนผู้ปฎิบัติงานจะไม่น่าสนใจและไม่เหมาะครับ จะน่าสนใจก็ต่อเมื่อเราไปทำในส่วนงาน เช่น คือเป็นนักวิเคราะห์และแก้ปัญหาการปฎิบัติการ (Operation Analylist) หรือนักบริหารจัดการการปฎิบัติการ (Logistics Operation Management, Manager) แต่แต่ถ้าคุณมีความสนใจด้าน ขนส่ง software หรือ IT อยู่แล้ว แบบอื่นๆก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากๆนะครับ ซึ่งเวลาเราทำงานหรือเรียนด้านนั้นเราจะได้มีความสุขกับสิ่งที่เราทำ
หวังว่าข้อมูลข้างต้นอาจมีประโยชน์เล็กๆน้อยๆเอาไว้ช่วยเป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจเลือกสถาบันนะครับ เพราะแต่ละที่ก็มีดี ต่างกันไป ให้รู้คร่าวก่อนนะครับ ว่าโลจิส กว้างมากๆๆๆๆๆๆๆๆ เอาแบบที่ชอบละกันซึ่งเวลาเราทำงานหรือเรียนด้านนั้นเราจะได้มีความสุขกับสิ่งที่เราทำ
ท้ายสุดๆ ก็ขอบคุณข้อมูลต่างๆ จาก K.Lek ด้วยครับ credit @B2BEEP #pantip
================================================
บทความจากหนังสือพิมพ์ สยามธุรกิจ ครับ
ลอจิสติกส์’เครื่องมือเสริมความสามารถ ทางการแข่งขันธุรกิจในปัจจุบัน ในการดำเนินการธุรกิจทั่วไป ผู้ประกอบ การต่างพยายามหาวิธีลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงเพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ เครื่องมือในการบริหารจัดการที่กำลังเป็นที่สนใจของธุรกิจทั้งหลาย ได้แก่ เครื่องมือทางวิศวกรรมอุตสาหการที่ใช้เพิ่ม ผลผลิต การจัดการโซ่อุปทาน (Supply Chain Management : SCM) และการจัดการลอจิสติกส์ (Logistics Management)
ลอจิสติกส์ (Logistics) หมายถึง กิจกรรมที่มีการเคลื่อนย้าย จัดเก็บสินค้า วัสดุ วัตถุดิบ เอกสาร จากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง ในระยะเวลาชั่วคราวหรือระยะเวลายาวนาน โดยมีความพยายามในการจัดการกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ ให้เกิดค่าใช้จ่ายโดยรวมต่ำที่สุด
ลอจิสติกส์เป็นความรู้สหวิทยาการ ที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาหลักสามสาขาวิชา คือ วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) เกี่ยว ข้องกับ วิศวกรรมอุตสาหการ (Industrial Engineering) ในการพิจารณาหาวิธีการเคลื่อนย้ายสินค้า ที่มีประสิทธิภาพมาก ที่สุด ค่าใช้จ่ายต่ำ และรวดเร็วที่สุด และอีกสาขาหนึ่งของวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยว ข้องคือ วิศวกรรมโยธา (Civil Enginee ring) ที่จะพิจารณารูปแบบการขนส่งที่เหมาะ สม และประหยัดพลังงานมากที่สุด บริหารธุรกิจ (Business Administration) เกี่ยวข้องกับการจัดการนโยบายการบริหารธุรกิจที่สัมพันธ์กับลอจิสติกส์และ ยุทธศาสตร์ ภาษี การบัญชี การเงิน ต้นทุน และการตลาดที่เกี่ยวข้อง เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) เกี่ยวข้องในการใช้อุปกรณ์ เครือข่าย โปรแกรมที่จะสนับสนุนกิจกรรม ลอจิสติกส์ให้ดำเนินไปอย่างราบรื่นที่สุด
ลอจิสติกส์ ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 9 กิจกรรมด้วยกัน คือ
  • กระบวนการสั่งซื้อและบริการลูกค้า (order management and customer service)
  • การหีบห่อบรรจุภัณฑ์ (packaging)
  • การเคลื่อนย้ายวัตถุดิบภายในโรงงาน (Material Handling)
  • การขนส่ง (transportation)
  • การสินค้าคงคลัง (Inventory Control)
  • การจัดการด้านโกดัง (warehouse ma- nagement)
  • การจัดซื้อจัดหาวัตถุดิบ (suppliers ma- nagement)
  • การกระจายสินค้า (Distribution)
  • การผลิตและการจัดตารางผลิตภัณฑ์ (Production Management)

เมื่อพิจารณาจากกิจกรรมหลัก ทั้ง 9 กิจกรรม จะเห็นได้ว่า ลอจิสติกส์ ประกอบด้วยส่วนประกอบ ใหญ่ 3 ส่วน คือ ตำแหน่ง ที่ตั้งของสถานที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ (Facilities Location) การจัดเก็บสินค้า (Warehouse and Inventory) และ การ ขนส่ง (Transport) การวัดประสิทธิภาพของกระบวน การลอจิสติกส์
การจัดการลอจิสติกส์จะเน้นไปที่การเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมตั้งแต่ขั้นตอนในการจัดหาวัตถุดิบ (Raw Material) สินค้า (Goods) และบริการ (Services) การเคลื่อน ย้ายจากต้นทาง (Source of Origin) ไปยังผู้บริโภคปลายทาง (Final Destination) โดยประสิทธิภาพของกระบวนการทางลอจิส ติกส์สามารถพิจารณาจากการบริการลูกค้าหรือการจัดส่งสินค้าถึงปลายทางได้ทันเวลา (Just in Time) และมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การจัดการลอจิสติกส์ขององค์การยังสามารถวัดประสิทธิภาพได้จากเป้าหมายที่สำคัญคือ ความรวดเร็วในการ ส่งมอบสินค้า (Speed Delivery) ความราบรื่นของการไหลของสินค้าและข้อมูลข่าวสาร (Physical Flow and information Flow) การสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) และ การลดต้นทุนการเก็บรักษาและขนส่งสินค้า (Cargo Cost) ความพึงพอใจของลูกค้า (Customer satisfaction)
ลอจิสติกส์ เครื่องมือเสริมความสามารถ ทางการแข่งขันธุรกิจในปัจจุบัน (จบ) คำที่มีความหมายคล้ายคลึงกับลอจิสติกส์ และบางครั้งอาจจะสร้างความสับสนให้แก่ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงธุรกิจ คือ โซ่อุปทาน หลักการของโซ่อุปทาน (Supply Chain) คือ การจัดการกับทุกส่วนของ การผลิต ตั้งแต่ผู้ผลิตวัตถุดิบ ผู้ผลิตสินค้า ผู้กระจายสินค้าจนถึงผู้ค้าปลีก ให้มีส่วนร่วม รับผิดชอบในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า โดยทุกส่วนต้องมีการประสานงาน และแลกเปลี่ยนสารสนเทศกัน
โดยสรุปแล้ว กล่าวได้ว่าลอจิสติกส์เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการจัดการโซ่อุปทาน ที่จะช่วยในการวางแผนสนับสนุนการควบคุมการไหลของกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมทั้งการเก็บรักษาสินค้าจากจุดเริ่มต้น ไปสู่จุดสุดท้าย เพื่อตอบสนองความต้องการ ของลูกค้า ลอจิสติกส์จึงเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะนำธุรกิจไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ประมวลการพัฒนาระบบลอจิสติกส์ จากการศึกษาระบบลอจิสติกส์ของประเทศต่างๆ ได้รวม 4 ระดับชั้น คือ
1. การกระจายสินค้าทางกายภาพ (Physical Distribution)
เป็นระดับที่ธุรกิจให้ความสำคัญและพัฒนาเน้นด้านของการขนส่งสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค โดยอาจครอบ คลุมกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ การขนส่ง การเก็บสินค้า การจัดการวัสดุ และการบรรจุหีบห่อเพื่อป้องกันการสูญเสียระหว่างการขนส่ง การพัฒนาระดับนี้ยังไม่มุ่งเน้นการลดต้นทุนในส่วนที่เป็นสินค้า คงคลัง เป็นวัตถุดิบ และเป็นสินค้าระหว่างผลิต
2.ลอจิสติกส์ภายในองค์กร (Internally Integrated Logistics)
ระดับของธุรกิจที่พัฒนาในระดับนี้ จะรวมกิจกรรมลอจิสติกส์ที่เกิดขึ้นก่อนกระบวนการผลิต มีการเชื่อมโยงการจัดการภายในบริษัทตั้งแต่การรับวัตถุดิบจนถึงการจัดส่งถึงผู้บริโภค โดยมีจุดมุ่งหมายในการเปลี่ยนจากการลดสินค้าคงคลังเป็นเพิ่มความถี่ในการระบายสินค้า การพัฒนาในขั้นตอนนี้จะมีการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
3.ลอจิสติกส์ภายนอก (Externally Integrated Logistics)
ระดับการพัฒนาในชั้นนี้จะเป็นการพัฒนาที่มีการเชื่อมโยงใช้รูปแบบการขนส่งทุกรูปแบบอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การมีจุดขนถ่ายสินค้าที่มีมาตรฐานโดยการ เชื่อมโยงฐานข้อมูลและระบบสารสนเทศระหว่างองค์การ
4.ลอจิสติกส์ระดับสากล (Global Lo-gistics Management)
การพัฒนาการในระดับนี้จะเกิดในบริษัทข้ามชาติที่กำลังเผชิญกับปัญหากำไร ลดลงในประเทศที่ตนตั้งอยู่ ดังนั้น จึงเริ่มหาแหล่งจัดซื้อที่ถูกกว่าในต่างประเทศ ลักษณะของการพัฒนาในขั้นตอนนี้คือ การจัดซื้อวัตถุดิบและจัดส่งสินค้าจะครอบคลุมแหล่งวัตถุดิบทั่วโลก โดยการสั่งวัตถุดิบจากประเทศที่ขายราคาถูกกว่า เพื่อนำไปผลิตและขายสินค้าสำเร็จรูปโดยการขนส่งไปขายในประเทศที่มีราคาสูง
ในส่วนของประเทศไทยระดับการพัฒนาลอจิสติกส์ขององค์การต่างๆ ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น คืออยู่ในขั้นตอนระหว่างการพัฒนาจากช่วง Physical Distribution เข้าสู่ช่วง Internally Integrated Logistics
ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์ สยามธุรกิจ ครับ credit @SEA #pantip
================================================
สถาบันการขนส่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย http://www.tri.chula.ac.th/index1.htm

2555-05-08

RMF & LTF

RMF & LTF
ข้อ RMF LTF
1 RMF คืออะไร? RMF ย่อมาจากคำว่า Retirement Mutual Fund หรือเรียกในชื่อไทยว่า “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ” เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่ง (กองทุนรวม หมายถึง การนำเงินของผู้ลงทุนหลายๆ คนมารวมกัน แล้วมีมืออาชีพ ซึ่งก็คือ บริษัทจัดการ คอยบริหารจัดการเงินตามนโยบาย การลงทุนที่กำหนดไว้) ซึ่งมีวัตถุประสงค์พิเศษแตกต่างจาก กองทุนรวมทั่วไป คือ RMF เป็นเครื่องมือหนึ่งในการ สะสมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ ที่ทางการให้การสนับสนุน สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุนเพื่อเป็นแรงจูงใจ LTF คืออะไร? LTF ย่อมาจากคำว่า Long Term Equity Fund หรือเรียกในชื่อไทยว่า “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว” เป็นกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้น โดยทางการสนับสนุน ให้จัดตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มสัดส่วนผู้ลงทุนสถาบัน (ซึ่งก็คือ กองทุนรวม) ที่จะลงทุนระยะยาวในตลาดหลักทรัพย์ฯ การเพิ่มผู้ลงทุนสถาบันดังกล่าวจะช่วยให้ตลาดทุนไทย มีเสถียรภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้ที่ลงทุนใน LTF ที่เป็น บุคคลธรรมดาจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อเป็น แรงจูงใจในการลงทุน
2 RMF เหมาะกับใคร? เหมาะกับคนทุกกลุ่มที่ต้องการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ยังไม่มีสวัสดิการออมเงินเพื่อ วัยเกษียณ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) มารองรับ หรือมี สวัสดิการดังกล่าวแต่ยังมีกำลังออมเพิ่มมากกว่านั้นได้อีก + ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งแต่เดิมมาขาดโอกาสสะสมเงินลงทุนแบบปลอดภาษี เพราะไม่มีระบบบำเหน็จบำนาญรองรับ + ลูกจ้างที่นายจ้างยังไม่พร้อมที่จะจัดให้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ทำให้ลูกจ้างไม่สามารถสะสมเงินลงทุนเพื่อวัยเกษียณได้ + ลูกจ้างหรือข้าราชการที่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญอยู่แล้ว และประสงค์ที่จะลงทุนมากกว่าเดิม เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้เต็มวงเงิน 300,000 บาท ตามที่รัฐบาลให้การสนับสนุนและส่งเสริม LTF เหมาะกับใคร? เหมาะกับคนทุกกลุ่มที่ต้องการลงทุนในหุ้นระยะยาว แต่อาจไม่มีความชำนาญเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น หรือไม่มีเวลาจึงลงทุนผ่านกองทุนรวม ทั้งนี้ ผู้ลงทุน จะต้องเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุน และเงื่อนไขเกี่ยวกับระยะเวลาในการลงทุนได้
3 RMF มีนโยบายการลงทุนเป็นอย่างไร? มีนโยบายการลงทุนให้เลือกหลากหลายเหมือนกองทุนรวม ทั่วไป ตั้งแต่กองทุนที่มีระดับความเสี่ยงต่ำ เน้นลงทุนใน ตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร กองทุนที่มีระดับความเสี่ยง ปานกลางที่อาจผสมผสานระหว่างการลงทุนในตราสารหนี้ และตราสารทุน ไปจนถึงกองทุนที่มีระดับความเสี่ยงสูง เน้นลงทุนในตราสารทุน เช่น หุ้น ใบสำคัญแสดงสิทธิ การซื้อหุ้น (warrant) LTF มีนโยบายการลงทุนเป็นอย่างไร? มีนโยบายการลงทุนแบบเดียว คือ ลงทุนในหุ้นที่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยอาจเน้นลงทุน ในหุ้นกลุ่ม SET50 หุ้นตามกลุ่มอุตสาหกรรม หรือลงทุน ในหุ้นตามที่บริษัทจัดการเห็นควรก็ได้ ขึ้นอยู่กับ รายละเอียดนโยบายการลงทุนของแต่ละ LTF
4 RMF มีข้อแตกต่างจากกองทุนรวมทั่วๆ ไปอย่างไร? 1. หากลงทุนครบตามเงื่อนไขจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี 2. ไม่สามารถโอน จำนำ หรือนำหน่วยลงทุนไปเป็น หลักประกันได้ 3. ไม่มีการจ่ายเงินปันผล LTF มีข้อแตกต่างจากกองทุนรวมทั่วๆ ไปอย่างไร? 1. หากลงทุนครบตามเงื่อนไขจะได้รับสิทธิประโยชน์ ทางภาษี 2. ไม่สามารถโอน จำนำ หรือนำหน่วยลงทุนไปเป็น หลักประกันได้ 3. เป็นกองทุนเปิด ซึ่งกำหนดให้ขายคืนหน่วยลงทุน ได้ไม่เกินปีละ 2 ครั้ง
ข้อ RMF LTF
ข้อ เงื่อนไขการลงทุนเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ได้แก่ เงินลงทุน มาจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ลงทุนที่มีเงินได้ต้องลงทุนแบบผูกพัน คือ ลงทุนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง แต่เมื่อมีความจำเป็นอาจระงับการลงทุนได้ไม่เกินหนึ่งปีติดต่อกัน แต่หากผู้ลงทุนไม่มีเงินได้ในปีใดหรือหลายปีติดต่อกัน ผู้ลงทุนสามารถว่างเว้นการลงทุนได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการผิดเงื่อนไขการลงทุนและเมื่อมีเงินได้ก็ให้ลงทุนต่อไป โดยนับอายุการลงทุนตั้งแต่ปีแรกที่ลงทุน เงินลงทุนขั้นต่ำ ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละสามของรายได้ หรือไม่น้อยกว่าห้าพันบาทต่อปีอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีจำนวนเงินต่ำกว่า ในการคำนวณรวมเงินลงทุนขั้นต่ำ ให้รวมเงินลงทุนในทุก ๆ กองทุนที่ลงทุนในปีนั้น ๆ เงินลงทุนขั้นสูง ต้องไม่เกินร้อยละสิบห้าของเงินได้ แต่ต้องไม่เกินสามแสนบาทต่อปี ในการคำนวณรวมเงินลงทุนขั้นสูง ให้รวมเงินลงทุนใน ทุก ๆ กองทุนที่ลงทุนในปีนั้น ๆ กองทุนไม่จ่ายเงินปันผล ห้าม นำหน่วยลงทุนของกองทุนไป จำหน่ายจ่ายโอน หรือ นำไปเป็นประกัน หากขายคืนหน่วยลงทุนก่อนกำหนด ที่ผู้ลงทุนจะมีอายุครบห้าสิบห้าปีบริบูรณ์และถือหน่วยลงทุนมาน้อยกว่าห้าปี ผู้ลงทุนต้องนำเงินสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับในช่วงห้าปีปฏิทินล่าสุดไปคืนกรมสรรพากร และนำเงินกำไรส่วนเกินทุนที่เกิดจากการขายคืนหน่วยลงทุนนั้น ไปคำนวณรวมเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้ในปีที่มีการขายคืนหน่วยลงทุนนั้น นโยบายการลงทุนของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ การลงทุนอาจเป็นแบบใดแบบหนึ่งในมาตรฐาน 10 แบบของสำนักงาน ก.ล.ต. ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งมีความเสี่ยงและผลตอบแทนในระดับที่แตกต่างกัน ผู้ลงทุนต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนการลงทุน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ลงทุน การยอมรับความเสี่ยง และการคาดหวังผลตอบแทน LTF
[Ref: TSI Thailand Securities Institute]

2555-05-04

Quote

Quote
~ from many where


- Relationships are worth fighting for, but you can't be the only one fighting. #LifeFacts


- If they weren't there for you during your hardest times, then they don't deserve to be there at all. #ItsLifeNote